#นักเขียนที่เรารัก
มีบางครั้งที่เราหยิบหนังสือขึ้นมา แล้วรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปในอีกโลกหนึ่ง—โลกที่เต็มไปด้วยแสงเทียนในโรงเตี๊ยม เสียงลมพัดบนเนินเขา และตำนานของผู้คนที่ไม่เคยมีอยู่จริง แต่กลับดูจริงยิ่งกว่าความจริงเสียอีก
ในคอลัมน์ นักเขียนที่เรารัก ครั้งนี้ เราขอพาเพื่อนผู้อ่านย้อนเวลาไปพบชายผู้สร้างโลกนั้นขึ้นมาด้วยปลายปากกา — เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J.R.R. Tolkien)
จอห์น โรนัลด์ รูเอล โทลคีน เกิดเมื่อปี 1892 ที่แอฟริกาใต้ ก่อนจะย้ายมาเติบโตที่อังกฤษหลังจากบิดาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก เขาเป็นเด็กขี้อายที่หลงใหลในภาษา ตั้งแต่ภาษาละติน โกธิก ไปจนถึงภาษานอร์สโบราณ เขาไม่ได้เรียนภาษาเพียงเพื่อเข้าใจ แต่เพื่อ “สร้าง” — นั่นคือสิ่งที่ต่อมาจะกลายเป็นหัวใจของโลก Middle-earth
โทลคีนผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยบาดแผลทางกายและใจ เขาเห็นเพื่อนหลายคนจากไปในสนามรบซอมม์ แต่ภายใต้ฝุ่นควันและความสิ้นหวัง เขากลับเก็บเมล็ดแห่งจินตนาการไว้ในหัวใจ “I desired dragons with a profound desire.” เขาเคยเขียนไว้เช่นนั้น — “ฉันปรารถนาจะได้เห็นมังกร ด้วยความปรารถนาอันลึกซึ้ง”
และจากความปรารถนานั้น โลกของเอลฟ์ คนแคระ และฮอบบิทก็เริ่มถือกำเนิดขึ้นอย่างเงียบงาม
ในฐานะศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์ที่อ็อกซฟอร์ด โทลคีนไม่ใช่เพียงนักวิชาการที่จดบันทึกเสียงสระ แต่คือ “นักเล่านิทานผู้รู้จักเสียงของคำ”
เขาใช้เวลาหลายปีสร้างภาษาเอลฟ์ขึ้นมาทั้งระบบ ทั้งไวยากรณ์และเสียงพูด ก่อนจะบรรจงร้อยถ้อยคำเหล่านั้นลงในเรื่องราวเล็ก ๆ ของสิ่งมีชีวิตชื่อ Hobbit
ปี 1937 — The Hobbit ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก โลกวรรณกรรมแฟนตาซีไม่เคยเหมือนเดิมอีกต่อไป มันคือเรื่องราวของบิลโบ แบ็กกินส์ ที่เริ่มต้นจาก “การออกเดินทางที่ไม่คาดคิด” (An unexpected journey) และได้เติบโตไปพร้อมกับคนอ่านทั่วโลก
จากนั้น โทลคีนใช้เวลานานเกือบสองทศวรรษ สร้างผลงานยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา — The Lord of the Rings
ตำนานแห่งมิตรภาพ ความกล้าหาญ และการเสียสละ ที่ถูกเขียนขึ้นระหว่างหน้ากระดาษของนักวิชาการในห้องเล็ก ๆ แต่กลับสะท้อนเสียงของสงครามและความเป็นมนุษย์ได้ลึกซึ้งเกินกว่านิยายใดจะเทียบได้
“Even the smallest person can change the course of the future.”
— แม้แต่คนที่ตัวเล็กที่สุด ก็อาจเปลี่ยนเส้นทางของอนาคตได้
ผลงานของโทลคีนไม่ได้จบลงแค่ The Lord of the Rings
หลังจากเขาจากไปในปี 1973 ลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้รวบรวมต้นฉบับและบันทึกต่าง ๆ มาจัดพิมพ์เป็น The Silmarillion — หนังสือที่เปิดเผยประวัติของโลก Middle-earth ตั้งแต่ก่อนจะมี “แหวนแห่งอำนาจ” เสียอีก
ทุกหน้าหนังสือของโทลคีนเต็มไปด้วย “ความเชื่อ” ว่าภาษาและตำนานสามารถสร้างโลกขึ้นมาได้จริง เขาไม่เพียงเขียนเรื่องราว แต่เขา “เชื่อในเรื่องราวนั้น” อย่างสุดหัวใจ
และนั่นคือเหตุผลที่งานของเขาไม่เคยเก่า ไม่ว่าจะกี่สิบปีผ่านไป
ในโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน บางทีเรายังต้องการพื้นที่เล็ก ๆ ที่เวลาเดินช้าลง
พื้นที่ที่มังกรยังคงบินอยู่บนท้องฟ้า และฮอบบิทยังคงเปิดประตูบ้านกลม ๆ ต้อนรับผู้มาเยือน
โทลคีนอาจจากไปนานแล้ว แต่เสียงของเขายังดังอยู่ในหน้าหนังสือทุกเล่ม — เสียงที่บอกเราว่า
“There is some good in this world, and it’s worth fighting for.”
บางคืน เราอาจหยิบ The Hobbit หรือ The Lord of the Rings ขึ้นมาอีกครั้ง
นั่งเงียบ ๆ ในแสงไฟสลัว แล้วปล่อยให้โลกของโทลคีนห่มคลุมเราไว้ด้วยความอ่อนโยนแบบเดียวกับที่เขาเคยสร้างไว้ให้ฮอบบิทตัวหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน
เพราะหนังสือที่ดี ไม่ได้พาเราแค่ไปยังอีกโลกหนึ่ง — แต่มักพาเรา “กลับมาพบตัวเอง” ได้เสมอ
Days Sweet Days Books